วาเลนติโน รอสซี่ จอมเก๋าอิตาเลียนจาก มอนสเตอร์ ยามาฮ่า เปิดใจหลังจบการแข่งขัน เช็ก กรังด์ปรีซ์ แบบหมดเปลือก ว่ารถแข่ง M1 มีจุดอ่อนเรื่อง “ท็อปสปีด” และ “อัตราเร่ง” อย่างมาก ซึ่งเป็นรองคู่แข่งหลายขุม ชี้ต้นสังกัดต้องทำงานหนักเพื่อปรับปรุงให้ได้โดยเฉพาะเครื่องยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
นักบิดอิตาเลียนได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 7 ในการแข่งขัน เช็ก กรังด์ปรีซ์ ภายใต้เรซที่มีความสับสนด้านสภาพอากาศอย่างมาก จนต้องเลื่อนการออกตัวไปกว่า 40 นาที ก่อนที่เริ่มเกม และ รอสซี่ ก็สามารถคว้าอันดับ 6 มาครองได้ พร้อมกับเป็นนักบิดยามาฮ่าที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในเรซนี้
รอสซี่ อธิบายว่า ยามาฮ่า มีความเสียเปรียบคู่แข่งอย่างมากในปี 2019 โดยเฉพาะในเรื่อง ความเร็วสูงสุด นั่นหมายความว่า “นักบิดจะต้องไปหากวดเวลาต่อรอบเอาในโค้ง” มากกว่าที่ควร แต่ในสถานการณ์ที่ “ไม่มีการยึดเกาะ” ที่ดี ทว่า M1 กลับต้องเจอสถานการณ์ที่อึดอัดกว่าทีมโรงงานคู่แข่งอื่นๆ
“แน่นอน… เราไม่แฮปปี้กับอันดับ 6 แต่ผลงานที่ออกมามันดีกว่าสนามที่แล้ว ผมสามารถขี่รถแข่งได้ในทิศทางที่ดีกว่า และในตอนจบมันก็ไม่ได้เลวร้ายมากเกินไป” นักบิดวัย 40 ปี กล่าว
“นักบิดที่จบเรซข้างหน้าผม ล้วนแล้วแต่มีความเร็วมากกว่าผม แต่ในตอนจบ ผมทำได้ดีกว่าสนามที่ผ่านมา ดังนั้นมันจะค่อนข้างจะโอเคเลยละ”
“ปีนี้ ปัญหาใหญ่ของเราคือ ระยะห่างของความเร็วสูงสุด ดังนั้นเราไม่ได้พ่ายแพ้เพียงอัตราเร่ง แต่ยังรวมถึงท็อปสปีดที่ห่างไกลจากทุกๆ ทีม โดยเฉพาะรถแข่งที่เร็วที่สุดอย่าง ฮอนด้า และ ดูคาติ”
“ดังนั้น สิ่งที่เราต้องปรับปรุงคือ ท็อปสปีด และระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสิ่งอื่นๆ ด้วย”
“สำหรับผม เราจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักกับเครื่องยนต์ ยามาฮ่า มีงานต้องทำมากมาย เพราะดูเหมือนว่าเครื่องยนต์ของทีมอื่นๆ นั้นมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดด เพราะพวกเขาต่างก็เร็วมากๆ และก็สามารถขี่ได้ดีขึ้น ดังนั้นเราจะต้องพยายามค้นหาบางสิ่งที่สำคัญ เพื่อลดระยะห่างตรงนี้ให้ได้”
“รถแข่งของพวกเราค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยปกติหากสุดสัปดาห์นั้นอากาศดีและแห้ง ทุกๆ คนจะทำความเร็วได้ดีเมื่อลงสู่แทร็ก แต่หากบางอย่างเปลี่ยนไป เช่นอุณหภูมิลดลง หรือมีฝนตกลงมา ดูเหมือนว่าเราจะเจอกับปัญหาทันที”