ในการแข่งขัน โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2019 สนามล่าสุด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผม (เก๋า Motorsportlives) เชื่อว่าแฟนๆ ชาวไทยนั้นได้มีโอกาสหัวใจพองโต และลุ้นกันอย่างหนัก เมื่อได้เห็นชื่อนักบิดไทย และกราฟิกธงชาติไทย ติดอยู่ในอันดับ 3 ของการแข่งขัน
ไม่บ่อยครั้งหรอกครับ ที่เราคนไทยจะได้เฮกันแบบนี้ โดยเฉพาะกับการแข่งขันระดับสูงสุดของโลกอย่าง เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ที่เราต่างก็เฝ้ารอความสำเร็จของนักบิดไทยมาหลายปี
ตั้งแต่ยุคของ “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ ที่ก้าวขึ้นไปสูงสุดถึงอันดับ 4 ใน โมโตทู ที่ แอสเซ่น ต่อเนื่องมาที่ “ติ๊งโน๊ต” ฐิติพงศ์ วโรกร ที่มารับช่วงต่อ… แต่ก็ปรับตัวยากลำบากเหลือเกินในเรซที่เต็มไปด้วย “เสือ สิงห์ และกระทิงดุ” ต่อมาจนถึง “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ในคลาส โมโตทรี
แต่ในยุคนี้ ปี 2019 “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา คือนักบิดความหวังใหม่ของพวกเรา…
ลีลาการบิดของเขาหลายสนาม พิสูจน์ในตัวของตัวเขาเองว่าไม่มีความกลัวนักบิดจากยุโรปแม้แต่น้อย หลายสนามปรับตัวได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ…
สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นคือ “ก้อง” ไม่กลัวที่จะเอาตัวเองขึ้นไปอยู่ในกลุ่มหน้า แม้ “รู้ดี” ว่าจะต้องเจอแรงกดดันมหาศาลแบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน…
ในการแข่งขัน เจแปนีส กรังด์ปรีซ์, สมเกียรติ ได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 6 อานิสงส์ส่วนหนึ่งในการคว้ากริดแถวที่ 2 มาจากสภาพอากาศที่มีฝนตกลงมา แต่ต้องให้เครดิต เพราะการเป็นนักบิดที่ดี จะต้องขี่ให้ดีในทุกๆ สถานการณ์
สิ่งหนึ่งที่ “สมเกียรติ” รู้ดีคือในสภาพแทร็กแห้งที่ “โมเตกิ” เขายังเป็นรองกลุ่มหน้าอยู่รอบละกว่า 0.5-0.7 วินาที นี่คือเวลาต่อรอบจากในการซ้อมครั้งที่ 2
แต่เอาละ… แผนของทีมและนักบิดไทยคือ ขึ้นไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด… และมาดูกันว่าจะบริหาร “ขีดการต่อสู้” (Race Pace) ให้ดีจากรอบแรกไปจนถึงรอบสุดท้ายได้หรือไม่…
“ก้อง” เริ่มเกม เจแปนีส กรังด์ปรีซ์ ได้สมบูรณ์แบบ เขาแซงขึ้นไปได้ 2 อันดับในรอบแรก ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 4
จากนั้นในรอบที่ 2 สมเกียรติ แซง ออกุสโต เฟอร์นันเดซ ขึ้นไปอีก 1 คัน รั้งอันดับ 3 และนั่นคืออันดับที่ได้ลุ้นโพเดี้ยม แถมประตูในการลุ้นแชมป์ก็มีเช่นกัน เพราะนักบิดที่อยู่ข้างหน้าเขามีเพียง 2 คน นั่นคือ ลูก้า มารินี แชมป์ในเรซดังกล่าวจาก สกาย เรซซิ่ง วีอาร์46 และ ฮอร์เก มาร์ติน ดาวรุ่งจาก เคทีเอ็ม
สมเกียรติ ควบคุม เรซ เพซ ของตัวเองได้ดีเหลือเกิน ผู้บรรยาย โมโตจีพี ประกาศชื่อนักบิดไทยอย่างต่อเนื่อง… ระยะห่างจากแถวหน้าที่ดีที่สุดคือต่ำกว่า 1 วินาที (เป็นใครก็ฮึดสู้)
แต่การยืนระยะด้วย เรซ เพซ เช่นนั้นจนจบเรซระดับ โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การบริการจัดการ “ยาง” คือปัจจัยสำคัญ…
ท้ายที่สุด… สิ่งที่นักบิดไทยต้องเจอคือ การกลับสู่ เรซ เพซ ที่แท้จริงของตนเอง… เมื่อสภาพยางเริ่มสึกหรอจากการบู๊หนักในช่วงแรก ความเร็วต่อรอบที่เคยทำได้ก็เริ่มช้าลง…
อันดับของ สมเกียรติ รูดลงมาอย่างน่าใจหาย… แต่สำหรับเจ้าตัว น่าจะทำใจเอาไว้แล้ว และการจบเรซในอันดับ 13 ตามหลังแชมป์เพียง 15.008 วินาที เก็บ 3 แต้มมาครอง จาก เจแปนีส กรังด์ปรีซ์
หลายคนวิจารณ์ว่า “นักบิดไทย” ยังไม่นิ่งพอสำหรับการลุ้นโพเดี้ยม ยังไม่เก่งพอบ้างแหละ…
แต่เชื่อไหมครับ… ลีลาการบิดของ สมเกียรติ ที่ โมเตกิ ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึง “ความกล้า” ของเขาเองและทีมงาน ซึ่งต้องการทดลองให้รู้กันไปเลยว่า ถ้าวางแผนการบิดเช่นนี้จะยืนระยะได้มากเพียงไหน…
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ “สมเกียรติ” รู้ขีดการต่อสู้ของตนเอง ได้รู้ว่าแถวหน้าเขาขี่กันอย่างไร… เขาบริหารบางกันแบบไหน… และได้รู้วิธีการที่จะต่อสู้กับแถวหน้ามากขึ้น… ทีนี้ก็เหลือเพียงการนำมาปรับใช้กับตนเอง ซึ่งประสบการณ์จากสนามนี้ “ล้ำค่า” สุดๆ
ในแง่ของทีมเอง ก้ได้ข้อมูลจากการขี่ของ สมเกียรติ ข้อมูลของรถแข่ง เพื่อนำไปสู่การเซ็ตอัพที่ดี เซ็ตอัพแบบไหนถึงจะได้ขึ้นโพเดี้ยม…
โบราณว่าไว้ “อยากได้ลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ”…
ในรายของ “สมเกียรติ” นักบิดไทยก็เช่นกัน ถ้าอยากสัมผัสโพเดี้ยม คุณต้องกล้าเสี่ยง กล้าแลก กล้าขึ้นไปสู้กับ “เสือ สิงห์ และกระทิงดุ” ที่พร้อมจะฟาดเขี้ยวเล็บใส่คุณได้ทุกเวลา…
“รสชาติ” ในช่วง 7 รอบแรกของ โมโตทู ในปีนี้ จะเป็น “รสชาติ” ที่ สมเกียรติ จดจำได้เป็นอย่างดี… และมันจะกระตุ้นความกระหายให้เขาได้อย่างมาก…
และหากเขาไม่หมดความกระหาย “รสชาติ” อันหอมหวานของ “โพเดี้ยม” ก็จะรอเขาอยู่เช่นกัน…