ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร แชมป์โลกโมโตจีพีคนปัจจุบันแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ยามาฮ่า ต้องเดินหน้าพัฒนารถแข่ง M1 อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่อง “เครื่องยนต์” ชี้หากไม่แก้ไข “พละกำลัง” อนาคตจะไม่ง่ายอีกต่อไป…
กวาร์ตาราโร สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบิดฝรั่งเศสคนแรกที่ก้าวขึ้นเป็นแชมป์โลก โมโตจีพี ได้สำเร็จ พร้อมกับทวงบัลลังก์แชมป์โลกกลับมาสู่ ยามาฮ่า ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากที่ ฮอร์เก ลอเรนโซ ทำได้ในปี 2015
“เอล ดิอาโบล” ก้าวเข้ามาแทนที่ วาเลนติโน รอสซี่ ในเก้าอี้ทีมโรงงานยามาฮ่า ในปี 2021 และจากผลงานการคว้าชัยชนะ 5 ครั้ง กับโพเดี้ยมอื่นๆ อีก 4 ครั้ง ส่งผลให้เขาเถลิงแชมป์โลกได้สำเร็จด้วยคะแนนเหนือ ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า ถึง 26 แต้ม
ยามาฮ่า ยกระดับรถแข่ง M1 ในปี 2021 ขึ้นมาอย่างชัดเจนโดยเฉพาะความคงที่ของแชสซีส์ ส่งผลให้ กวาร์ตาราโร สามารถสร้างผลงานที่ “สม่ำเสมอ” ได้อย่างมากหากเทียบกับปี 2020
ทว่าจากสถานการณ์ในสนาม รถแข่ง M1 ก็ยังคงเป็นรองด้าน “แรงม้า” หากเทียบกับคู่แข่งค่ายอื่นๆ ภายใต้มาตรการห้ามพัฒนาเครื่องยนต์ในแ 2021 จากการ “แช่แข็ง” ในช่วง โควิด-19 ระบาด ที่มีผลต่อ ยามาฮ่า, ฮอนด้า, ดูคาติ และ ซูซูกิ (ยกเว้น อพริเลีย และ เคทีเอ็ม ที่พัฒนาได้จากแต้มคอนเซสชั่นในปีก่อนหน้านั้น)
“พูดตามตรงนะครับ… ผมรู้สึกว่ามันเป็นรถที่ดี แต่ก็ยังคงติดปัญหาหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องการแซง” กวาร์ตาราโร กล่าวถึง M1
“มันขึ้นอยู่กับสนามด้วยครับ ซึ่งในสนามนี้ (มิซาโน) มันยากมาก (การแซง)”
“แต่เรารู้ดี และทุกๆ คนก็รู้ว่าจุดที่เราต้องปรับปรุงคือ – แรงม้า (พละกำลังเครื่องยนต์)”
“ถ้าเพิ่มแรงม้าขึ้นได้บ้าง ผมคิดว่าเราจะสามารถมีรถแข่งที่ดีที่สุดในสนาม แต่ผมคิดว่า ยามาฮ่า ก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องแก้ไขตรงไหน และตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถบอกว่ามันดีที่สุดหรือไม่?”
กวาร์ตาราโร ออกจากการทดสอบ โพสต์ ซีซั่นเทสต์ ที่ เฆเรซ โดยที่ “ไม่มีความสุขมากนัก” เพราะยังคงมีปัญหากับ “ความคืบหน้า” ของรถแข่ง M1 2022
“ดังนั้น… ผมคิดว่าพวกเขาต้องเร่งมืออย่างหนัก และเอาจริงจังกับการพัฒนารถแข่ง โดยเฉพาะด้านเครื่องยนต์ เพราะพูดตามตรงนะครับ สำหรับในอนาคตที่กำลังจะมาถึง มันจะไม่ง่ายอีกต่อไป”
ขณะเดียวกัน แชมป์โลกคนล่าสุดยังเปิดเผยด้วยว่า จะไม่เซ็นสัญญาใดๆ กับ ยามาฮ่า สำหรับฤดูกาล 2023 จนกว่าจะได้เห็น “ความเปลี่ยนแปลง” ที่มีต่อรถแข่งในการทดสอบครั้งต่อไปที่ เซปัง ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า